การ Save Flash เป็น .avi เพื่อให้เล่นกับ Windows Media Player
วิธีการ Save Flash เป็น .avi เพื่อสามารถเล่นกับ Windows Media Player ได้
จำได้มั้ย ครับ เราเคยสร้างการ์ตูนกันเอาไว้ (หวังว่าเพื่อนๆ คงทำการ์ตูนยาวกว่าที่ผมทำไว้เป็นตัวอย่างนะครับ งั้นมันจะเร็วไป แป๊ป เดียวจบ) วันนี้ เรามาทำให้มันสามารถเล่นในWindows Midin Player กันได้ดีกว่าครับ เผือใครอยากทำเป็น VDO ไม่อยากเลยนะครับ
1. เปิดไฟล์ Falsh ที่เราทำไว้และพร้อมทำเป็นไฟล์ VDO กันแล้ว
2. ไปที่ File > Export > Export Movie...
3. ตอน Save สังเกตุ คำว่า Save as type ให้เลือก Windows AVI (*.avi)
4. เมื่อกด Save แล้วจะเห็นเมนูนี้เด้งขึ้นมา Dimensions Width x Height Pixels คิดว่าอันนี้ทุกคนคงทราบนะครับว่าหมายถึง ขนาดหน้าจอนั่นเอง ส่วนในหัวข้อ Sound คุณปรับได้ตามใจเลยครับ หรือจะตั้งตามรูปข้างล่างนี้ก็ได้นะครับ คือหากคุณต้องการเสียงที่คมชัด ก็เลือกในส่วนของ Sample Rate ให้มีค่าเยอะๆ ก็ได้นะครับ แต่ก็ต้องแลกกับขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นนะครับ Disable คือไม่มีเสียงครับ
5. 24 bit Color ล่ะคืออะไรกันนะ
ปกติคอมพิวเตอร์จะใช้ 24-bit color ซึ่งแสดงสีได้ 256 สี ต่อ สี addictive color หนึ่งสี ดังนั้น สำหรับ สีแดง เขียว และ น้ำเงิน อย่างละ 256 สี สามารถสร้างสีได้ทั้งสิ้น 16,777,216 สี (256 x 256 x 256) สี R=0 G=0 B=0 จะได้สีดำ และ สี R=255 G=255 B=255 จะได้สีขาว
6. อ้าว!!! แล้ว 32 bit color ทำไมมี W/ alpha อันคืออะไรกันนะ
32-bit color ที่ต่างก็แสดงสีได้ 16 ล้านสีเท่าๆกัน คือสีละ 8 bits แต่แบบ 32-bit color จะเพิ่ม Alpha Channel อีก 8 bits
อ้าวแล้ว!!! Alpha Channel คืออะไีีรกันล่ะ
Alpha channel เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานทางด้านตัดต่อและ 3D กราฟฟิคค่อนข้างมาก เพราะมันมีหน้าที่ Mask เลือกเฉพาะ
ส่วนที่เราต้องการให้ปรากฏบนงานของเราได้ อีกทั้งยังสามารถกำหนดความหนักเบาหรือมิติ ความโปร่งใสได้ด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับการใช้ Key มากครับ
7. ยัง กด Ok แล้วยังไม่เสร็จอีก มีเจ้านี้มาให้เลือกอีก Comperssor: อันนี้แล้วแต่เครื่องกันเลยนะครับ เลือกตามความเหมาะสมเลือกเป็น Micorsoft Video 1 ก็ได้ครับ แต่ถ้าหากคุณต้องการทำสื่อการสอนแบบมืออาชีพ คือ คุณต้องการที่จะให้ไฟล์นี้ เปิดได้ในทุกๆ เครื่อง คุณควรจะเลือกเป็น Full Freames (Uncompressed) นะครับ แต่ก็จะทำให้ขนาดของไฟล์ที่ได้จะใหญ่ขึ้นนะครับ
Comperssion Quality อันนี้เลือก % ความคมชัดนะครับ
Key Frame Every อันนี้ มาตรฐาน อยู่ที่ 20 นะครับ คือความ ลื่นไหล ของ Movie ล่ะครับ
ปรับอะไรเสร็จแล้วก็ กด Ok เพื่อการ Save ได้เลยครับ จะมีการ โหลด เพื่อการ Exporting AVI Movie
จากนั้นสามารถแสดงผลใน Windows Media Playe ได้เลยครับ
---- > ♥♥♥♥♥♥♥♥ < --- --->>ปกติคนเราจะจดจำด้วยสมอง แต่จะมีคนพิเศษบางคนเท่านั้น ที่เราจะจดจำเขาด้วยหัวใจ และเมื่อเขาเข้ามาอยู่ในใจเราแล้ว มันก็ยากและเจ็บปวดที่จะลืมเลือน
nOo NiD ooOOooOo
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
รู้บ้างไหมฉันรักเธอมาก ให้เธอคนเดียวทั้งใจ
แต่เธอมากรักเที่ยวไปรักใครต่อใคร แล้วฉันใช่ไหมที่ต้องทน
เขาว่าคนที่ใจเคยเจ็บ ต้องเจ็บและจำทุกคน
แต่คนอย่างฉันเจ็บแล้วมันก็ทน ฉันยังเป็นคนอยู่หรือไง
ผู้หญิงโง่ๆที่ยอมเธอง่ายๆ
ต้องเจ็บเรื่อยไปเพราะรักใครแบบเพ้อๆ
ผู้หญิงโง่ๆคนหนึ่ง ที่ต้องกอดหมอนนอนให้น้ำตาไหลเอ่อ
เจ็บปวดเพราะเธอเสมอไป

ยังยินดีที่ให้เธอหลอก แค่บอกมาว่ารักกัน
แค่คำๆนี้พอแล้วสำหรับฉัน ถึงจะฆ่ากันก็ต้องยอม
ผู้หญิงโง่โง่ที่ยอมเธอง่ายง่าย
ต้องเจ็บเรื่อยไปเพราะรักใครแบบเพ้อๆ
ผู้หญิงโง่ๆคนหนึ่ง ที่ต้องกอดหมอนนอนให้น้ำตาไหลเอ่อ
เจ็บปวดเพราะเธอเสมอไป
ผู้หญิงโง่โง่ที่ยอมเธอง่ายง่าย
ต้องเจ็บเรื่อยไปเพราะรักใครแบบเพ้อๆ
ผู้หญิงโง่ๆคนหนึ่ง ที่ต้องกอดหมอนนอนให้น้ำตาไหลเอ่อ
เจ็บปวดเพราะเธอเสมอไป
เห็นแล้วเธอเจ็บใจใช่ไหม ที่ฉันไปคลอเคลียเสียตัวกับเขา
การหักหลังจากคนรักเรา ในวันนี้เธอคงจะเข้าใจ
ว่าฉันเลวก็เชิญเถอะนะ แค่อยากรู้ว่ามันต่างกันตรงไหน
การที่เธอซุกซ่อนใครใคร ไม่ได้เลวใช่ไหม ช่วยตอบที
* เธอนอกใจฉันก่อนโทษใครไม่ได้ ทบทวนหน่อยไหม ว่าเธอเองก็เคยกระทำแบบนี้
ลักลอบมีความสัมพันธ์ อย่างกับฉันหูตาไม่ดี กอดจูบลูบไล้ขนาดนี้เปิดห้องดีกว่าไหม
** ที่ฉันแอบนอกกาย เพราะว่าเธอน่ะนอกใจ
ที่ฉันมีอะไรกับใครที่ไหน ก็เพราะว่าใจเธอไม่รักดี
ถ้ารักเราจะลงเหว มันก็เลวเท่ากันวันนี้
ลองมองย้อนดูตัวเองให้ดี ฉันนอกกายวันนี้เพราะเธอนอกใจ
ถามคำเดียวว่าให้อภัยได้ไหม ลบอะไรที่เธอได้ยินได้เห็น
เพิ่งรู้สินะ ว่ามันยากเย็น อย่างที่ฉันเคยเป็นมาก่อนนี้
เธอนอกใจฉันไม่เป็นไร แต่พอฉันนอกกายเธอรับไม่ได้
ความยุติธรรมอยู่ไหน บอกทีฉันอยากรู้
ถ้าเธอซื่อสัตย์ทุกนาที ฉันคงยินดีใช้ชีวิตคู่
แต่สิ่งที่เธอทำอยู่ ผลักดันให้ฉันต้องนอกกาย
ลองมองย้อนดูตัวเองให้ดี ว่าใครกันนะที่เลวก่อน
การหักหลังจากคนรักเรา ในวันนี้เธอคงจะเข้าใจ
ว่าฉันเลวก็เชิญเถอะนะ แค่อยากรู้ว่ามันต่างกันตรงไหน
การที่เธอซุกซ่อนใครใคร ไม่ได้เลวใช่ไหม ช่วยตอบที
* เธอนอกใจฉันก่อนโทษใครไม่ได้ ทบทวนหน่อยไหม ว่าเธอเองก็เคยกระทำแบบนี้
ลักลอบมีความสัมพันธ์ อย่างกับฉันหูตาไม่ดี กอดจูบลูบไล้ขนาดนี้เปิดห้องดีกว่าไหม
** ที่ฉันแอบนอกกาย เพราะว่าเธอน่ะนอกใจ
ที่ฉันมีอะไรกับใครที่ไหน ก็เพราะว่าใจเธอไม่รักดี
ถ้ารักเราจะลงเหว มันก็เลวเท่ากันวันนี้
ลองมองย้อนดูตัวเองให้ดี ฉันนอกกายวันนี้เพราะเธอนอกใจ
ถามคำเดียวว่าให้อภัยได้ไหม ลบอะไรที่เธอได้ยินได้เห็น
เพิ่งรู้สินะ ว่ามันยากเย็น อย่างที่ฉันเคยเป็นมาก่อนนี้
เธอนอกใจฉันไม่เป็นไร แต่พอฉันนอกกายเธอรับไม่ได้
ความยุติธรรมอยู่ไหน บอกทีฉันอยากรู้
ถ้าเธอซื่อสัตย์ทุกนาที ฉันคงยินดีใช้ชีวิตคู่
แต่สิ่งที่เธอทำอยู่ ผลักดันให้ฉันต้องนอกกาย
ลองมองย้อนดูตัวเองให้ดี ว่าใครกันนะที่เลวก่อน
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ถ้ามัวแต่หาเตียงที่ดีที่สุด ค่ำนี้ก็คงไม่ได้นอน .. ถ้ามัวแต่หาร้านที่อร่อยที่สุด มื้อนี้คงไม่มีอะไรตกถึงท้อง ..
ถ้ามัวแต่ตามหาคนที่ดีที่สุด ชีวิตนี้ก็คงต้องอยู่คนเดียว...
เพราะความรักใช้ "หัวใจ" เป็นตัวชี้วัด จึงไม่สามารถตัดสินว่าใครที่ดีที่สุด..
ที่ทำได้ก็คือหาคนที่ "ใช่ที่สุด" ที่เราพร้อมจะ "หยุด" การตามหาไว้ที่เขาคนเดียว ^o^
...........................................................................................................
อย่ามอง "รัก"เพียง เเค่"ภายนอก"...เพราะคง ดูไม่ออก ว่า"รัก"เป็นแบบไหน..."สถาปัตยกรรม" ยังต้องมีช่าง "ตกแต่งภายใน"...โปรดมอง"รัก" ให้ลึกจาก"หัวใจ" ใช่หน้าตา..
..........................................................................................................
"เสียใจ" เอาไว้ใช้สำหรับคนที่มีค่า...แต่สำหรับคนที่มองความรักเป็นเรื่องลั้ลลา.. ใช้คำว่า "เสียเวลา" ก็พอ ...!!
.........................................................................................................
อาการขาดความอบอุ่น..ไม่ได้อยู่ที่ "สภาพอากาศ"..แต่ขึ้นอยู่กับ"สภาพจิตใจ" ..ในวันหนาวๆ..หายใจออกมาเป็น"ไอ"..วันไหนๆก็หายใจออกมาเป็น"เธอ".. ^^ ♥ อิ๊ววว
.........................................................................................................
"แฟนมีไว้เพื่ออะไร" !?! : มีไว้ให้กูรัก ไม่ใช่มีไว้ให้กูทน , มีไว้ให้กูยิ้ม ไม่ใช่มีไว้ให้กูเบื่อ ,
มีไว้ให้กูปรึกษา ไม่ใช่ให้กูไประบายกะหมา , มีไว้ให้กูรู้สึกดี ไม่ใช่มีไว้ให้กูเอือมระอา ,
มีไว้ให้กูดีใจ ไม่ใช่มีไว้ให้กูชินชา , มีไว้ให้กูอุ่นใจ ไม่ใช่มีไว้ให้กูเสียใจ ,
มีไว้ให้กูถูกเอาใจ ไม่ใช่มีไว้ให้กูถูกละเลย , มีไว้ให้กูได้มีเวลาอยู่กะเขาไม่ใช่ มีไว้ให้กูอยู่คนเดียว..!!!
........................................................................................................
บางทีการ "นิ่ง" ไม่ได้หมายความว่า "ไม่รู้สึก"...
"นิ่ง" ไม่ได้หมายความว่า "หยุดคิด"...
"นิ่ง" ไม่ได้หมายความว่า "ไร้จินตนาการ"...
.แต่!!.. บางที การ "นิ่ง" คือการ "มีสติ" และ "ไตร่ตรอง" ในทุกสิ่งอย่างที่สุด!! . . .
........................................................................................................
การคาดหวังก็เหมือนกับการเอา.."กะละมัง"..ไปรองรับไวน์ชั้นเลิศราคาแพงนั่นแหละ!!..
ต่อให้ไวน์นั้นมีราคาสูงสักขนาดไหน..แต่ด้วยปริมาณที่มองเห็นว่า "น้อยเกินไป" ย่อมทำให้เราไม่เห็นถึงคุณค่าของมัน...
ความรักก็เช่นกัน... ถ้าเราตั้งความหวังจากคนที่เรารักมากเกินไป... เราก็จะไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำ ...
ไม่ต้องไปนับไปจำหรอกว่าเขาให้เราได้เท่าไหร่!!... ขอแค่ทุกอย่างที่เขาให้ ล้วนออกมาจาก "ใจ" ก็เพียงพอแล้ว...~
......................................................................................................
จะอยู่เป็น "แพนเค้ก" ในใจพี่... หรือจะอยู่เป็น "ตุ๊กกี้" สำหรับมัน.. เลือกเอา!!
ตอนที่ "ชอบ"...ทำไมไม่ยอม "เลว"!? . . . เสือกมา "เลว" ... "ตอนกูรัก" . . . !
เจ้าชู้คืออะไร?? ..ไม่เข้าใจ เพราะทั้งหมด..ที่ทำไป!..ก็แค่ 'อัธยาศัยดี' ^^ ...อิกอิก..
.......................................................................................................
จงอธิบาย นวัตกรรมการศึกษา
ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Difference)
การจัด การศึกษาตามแผนการศึกษาแทบทุกฉบับ มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่าง บุคคลโดยพิจารณาความถนัด ความสนใจ ความสามารถ ตลอดจนบุคลิกลักษณะของผู้เรียน แต่ละคนเป็นเกณฑ์ นวัตกรรมการศึกษาที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวคิดพื้นฐานด้านนี้มีหลายอย่างคือ
1.การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
โรงเรียนไม่มีชั้นเรียนไม่ได้หมายความว่าให้ผู้เรียนไปเรียนตามทุ่งนา หรือนอกชั้นเรียนเสมอไป อย่างนั้นต้องเรียกว่าโรงเรียนไม่มีห้องจะเรียน
โรงเรียนระบบไม่มีชั้นเรียน (Non-Graded Schools) เป็นโรงเรียนที่ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ของการตระหนักในความแตกต่างของเด็กแต่ละคน โรงเรียนดังกล่าวต้องการให้เด็กเรียนอย่างสนุก ท้ายทาย และให้กำลังใจ และเสริมสร้างต่อบรรยากาศของการเรียนอย่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
การเรียนรู้เป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการแสวงหา เรียนได้ด้วยตนเองในที่สุด การประเมินผลการเรียนจะเป็นการประเมินแบบองค์รวม เป็นการประเมินสำหรับแต่ละบุคคล มีการประเมินอย่างต่อเนื่อง รอบด้าน และมีการวิเคราะห์
การสอนของครูจะเป็นการสอนเป็นทีม ไม่ใช่แยกกันสอน จากการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนในโรงเรียนแบบไม่มีชั้นเรียนเรียนอย่างจริงจังมากกว่า และประสบความสำเร็จได้สูงกว่าระบบโรงเรียนทั่วไป และมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเด็กๆ ในโรงเรียนไม่มีชั้นเรียนสนุกสนานกับการเรียน มีสุขภาพกายและจิตที่ดีกว่า
ที่กล่าวมานี้เป็นประสบการณ์จากประเทศพัฒนาแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย โรงเรียนแบบไม่มีชั้นเรียน อาจเป็นคำตอบสำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กจำนวนมาก ที่อย่างไรเสียก็จัดการศึกษาแบบมีชั้นเรียนไม่ได้เต็มที่อยู่แล้ว
2.แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
แบบเรียนสำเร็จรูปหรือบทเรียนโปรแกรม หมายถึง การสอนโดยใช้บทเรียนที่จัดทำขึ้นโดยอาศัยหลักจิตวิทยาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ โดยเสนอความรู้ให้ผู้เรียนเป็นขั้น ๆ ในแต่ละขั้นจะมีคำถามให้ผู้เรียนตอบพร้อมเฉลย คำตอบของผู้เรียนนั้น ถูกหรือผิด แต่ละลำดับขั้นเรียบกว่า กรอบ หรือ เฟรม โดยมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. ผู้เรียนมีโอกาสร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างกระตือรือร้น
2. ผู้เรียนทราบผลการเรียนทันทีที่แสดงพฤติกรรมตามคำสั่ง
3. ผู้เรียนได้พบกับความสำเร็จด้วยตนเอง
4. แบ่งเนื้อหาเป็นตอน ๆ เรียงจากง่ายไปหายาก
ประเภทของบทเรียนสำเร็จรูป
1. บทเรียนสำเร็จรูปแบบเส้นตรง มีลักษณะ ดังนี้
1.1 มีข้อความเป็นหน่อยหรือกรอบย่อย ๆ เฉลี่ยแล้วมีความยาวประมาณ 2 ประโยค
1.2 ให้นักเรียนตอบด้วยคำตอบสั้น ๆ ซึ่งจะมีเฉลยคำตอบในกรอบถัดไป
1.3 เสนอความรู้เป็นขั้นสั้น ๆ จากง่ายไปหายาก
1.4 เสนอความรู้เรียงตามลำดับต่อเนื่องกันไปตั้งแต่กรอบแรก จนจบ
2. บทเรียนสำเร็จรูปแบบเสขา หรือบทเรียนสำเร็จรูปแบบเลือกตอบ เพราะผู้เรียนต้องเลือกคำตอบที่ดีที่สุดจากตัวเลือกที่มีให้หลายอัน ตัวบทเรียนมักทำเป็นสาขาแตกแขนงออกไปตามลักษณะคำตอบของนักเรียน นักเรียนทำถูกจึงจะได้รับอนุญาตให้เรียนข้อต่อไป ถ้าทำผิดจะต้องเรียนข้อนั้นจนทำให้ถูกต้อง ลักษณะเด่นของบทเรียนสำเร็จรูปแบบสาขา คือมีคำอธิบายว่า “ทำไม” คำตอบของผู้เรียนจึงถูก หรือเพราะ เหตุไรจึงผิด บทเรียนจะดำเนินไปเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของนักเรียน ถ้าผิดก็จะได้รับคำอธิบายเพิ่มเติม ถ้าทำได้ถูกต้องก็จะเรียนบทเรียนอื่น ๆ ต่อไป
หลักในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป
1.ควรทำให้บทเรียนมีเนื้อหาสาระมีคุณค่าต่อการเรียน เลือกเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง สอดคล้องกับชีวิตของผู้เรียนและทันสมัย
2. ควรให้นักเรียนมองเห็นข้อแตกต่างและนำความรู้ที่ได้ไปขยายและใช้ประโยชน์
3.ควรทำบทเรียนให้น่าสนใจ
4. ควรนำไปทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไข
โดยคำนึงถึงนักเรียน สิ่งที่ต้องการให้นักเรียนเรียนรู้ เนื้อหาวิชา วิธีสอน ค่าใช้จ่ายในการจัดทำและชนิดของบทเรียนสำเร็จรูป
ข้อดีของบทเรียนสำเร็จรูป
1. นักเรียนมีโอกาสได้เรียนด้วยตนเองและสนองตอบความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. ช่วยให้ครูทำงานน้อยลง พูดน้อยลง มีเวลาเตรียมบทเรียนต่อไป
3. แก้ปัญหาการขาดแคลนครู
4. แก้ปัญหานักเรียนเรียนช้า แต่ถูกเพื่อน ๆ เยาะเย้ยเมื่อตอบผิด
ข้อจำกัดของบทเรียนสำเร็จรูป
นักเรียนต้องซื่อสัตย์ ปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน ถ้าไม่ซื่อสัตย์ จะไม่ได้ผลอีกทั้งไม่ส่งเสริมคุณธรรมที่ดี
3.เครื่องช่วยสอน (Teaching Machine)
เดิมเครื่องช่วยสอนนี้มีลักษณะเป็นเครื่องจักรกลที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยในการเรียนการสอน เช่น อาจจะมีการเสนอบทเรียน คำอธิบาย ตามมาด้วยคำถามคำตอบ วิธีนี้ จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เครื่องจะช่วยตรวจคำตอบเพื่อวัดความเข้าใจ นับคะแนน เสนอบทเรียนต่อไปถ้าคะแนนเป็นที่พอใจ ให้ทำแบบฝึกหัดซ้ำถ้า คำตอบยังไม่เป็นที่พอใจ ต่อมา ได้มีผู้นำความคิดในเรื่องเครื่องช่วยสอนนี้มาทำเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เรียกว่า CAI หรือ computer-aided instruction ปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปได้ไกลมาก โดยเฉพาะวิชาที่ยังเรียนด้วยของจริงไม่ได้ เช่น การขับเครื่องบิน เป็นต้น นอกจากนั้น ใช้ทำบทเรียนที่เป็นการทบทวน หรือเรียนด้วยตัวเองได้ดี คำเครื่องช่วยสอนในปัจจุบันจึงหมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรม CAI ดู computer aided instruction ประกอบTeaching Machine เครื่องช่วยสอน
เครื่องสอน (Teaching Machine)
4.การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching)
1. ความหมาย
4. รูปแบบการสอนเป็นคณะ
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ
การจัด การศึกษาตามแผนการศึกษาแทบทุกฉบับ มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่าง บุคคลโดยพิจารณาความถนัด ความสนใจ ความสามารถ ตลอดจนบุคลิกลักษณะของผู้เรียน แต่ละคนเป็นเกณฑ์ นวัตกรรมการศึกษาที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวคิดพื้นฐานด้านนี้มีหลายอย่างคือ
1.การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
โรงเรียนไม่มีชั้นเรียนไม่ได้หมายความว่าให้ผู้เรียนไปเรียนตามทุ่งนา หรือนอกชั้นเรียนเสมอไป อย่างนั้นต้องเรียกว่าโรงเรียนไม่มีห้องจะเรียน
โรงเรียนระบบไม่มีชั้นเรียน (Non-Graded Schools) เป็นโรงเรียนที่ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ของการตระหนักในความแตกต่างของเด็กแต่ละคน โรงเรียนดังกล่าวต้องการให้เด็กเรียนอย่างสนุก ท้ายทาย และให้กำลังใจ และเสริมสร้างต่อบรรยากาศของการเรียนอย่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
การเรียนรู้เป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการแสวงหา เรียนได้ด้วยตนเองในที่สุด การประเมินผลการเรียนจะเป็นการประเมินแบบองค์รวม เป็นการประเมินสำหรับแต่ละบุคคล มีการประเมินอย่างต่อเนื่อง รอบด้าน และมีการวิเคราะห์
การสอนของครูจะเป็นการสอนเป็นทีม ไม่ใช่แยกกันสอน จากการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนในโรงเรียนแบบไม่มีชั้นเรียนเรียนอย่างจริงจังมากกว่า และประสบความสำเร็จได้สูงกว่าระบบโรงเรียนทั่วไป และมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเด็กๆ ในโรงเรียนไม่มีชั้นเรียนสนุกสนานกับการเรียน มีสุขภาพกายและจิตที่ดีกว่า
ที่กล่าวมานี้เป็นประสบการณ์จากประเทศพัฒนาแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย โรงเรียนแบบไม่มีชั้นเรียน อาจเป็นคำตอบสำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กจำนวนมาก ที่อย่างไรเสียก็จัดการศึกษาแบบมีชั้นเรียนไม่ได้เต็มที่อยู่แล้ว
2.แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
แบบเรียนสำเร็จรูปหรือบทเรียนโปรแกรม หมายถึง การสอนโดยใช้บทเรียนที่จัดทำขึ้นโดยอาศัยหลักจิตวิทยาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ โดยเสนอความรู้ให้ผู้เรียนเป็นขั้น ๆ ในแต่ละขั้นจะมีคำถามให้ผู้เรียนตอบพร้อมเฉลย คำตอบของผู้เรียนนั้น ถูกหรือผิด แต่ละลำดับขั้นเรียบกว่า กรอบ หรือ เฟรม โดยมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. ผู้เรียนมีโอกาสร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างกระตือรือร้น
2. ผู้เรียนทราบผลการเรียนทันทีที่แสดงพฤติกรรมตามคำสั่ง
3. ผู้เรียนได้พบกับความสำเร็จด้วยตนเอง
4. แบ่งเนื้อหาเป็นตอน ๆ เรียงจากง่ายไปหายาก
ประเภทของบทเรียนสำเร็จรูป
1. บทเรียนสำเร็จรูปแบบเส้นตรง มีลักษณะ ดังนี้
1.1 มีข้อความเป็นหน่อยหรือกรอบย่อย ๆ เฉลี่ยแล้วมีความยาวประมาณ 2 ประโยค
1.2 ให้นักเรียนตอบด้วยคำตอบสั้น ๆ ซึ่งจะมีเฉลยคำตอบในกรอบถัดไป
1.3 เสนอความรู้เป็นขั้นสั้น ๆ จากง่ายไปหายาก
1.4 เสนอความรู้เรียงตามลำดับต่อเนื่องกันไปตั้งแต่กรอบแรก จนจบ
2. บทเรียนสำเร็จรูปแบบเสขา หรือบทเรียนสำเร็จรูปแบบเลือกตอบ เพราะผู้เรียนต้องเลือกคำตอบที่ดีที่สุดจากตัวเลือกที่มีให้หลายอัน ตัวบทเรียนมักทำเป็นสาขาแตกแขนงออกไปตามลักษณะคำตอบของนักเรียน นักเรียนทำถูกจึงจะได้รับอนุญาตให้เรียนข้อต่อไป ถ้าทำผิดจะต้องเรียนข้อนั้นจนทำให้ถูกต้อง ลักษณะเด่นของบทเรียนสำเร็จรูปแบบสาขา คือมีคำอธิบายว่า “ทำไม” คำตอบของผู้เรียนจึงถูก หรือเพราะ เหตุไรจึงผิด บทเรียนจะดำเนินไปเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของนักเรียน ถ้าผิดก็จะได้รับคำอธิบายเพิ่มเติม ถ้าทำได้ถูกต้องก็จะเรียนบทเรียนอื่น ๆ ต่อไป
หลักในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป
1.ควรทำให้บทเรียนมีเนื้อหาสาระมีคุณค่าต่อการเรียน เลือกเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง สอดคล้องกับชีวิตของผู้เรียนและทันสมัย
2. ควรให้นักเรียนมองเห็นข้อแตกต่างและนำความรู้ที่ได้ไปขยายและใช้ประโยชน์
3.ควรทำบทเรียนให้น่าสนใจ
4. ควรนำไปทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไข
โดยคำนึงถึงนักเรียน สิ่งที่ต้องการให้นักเรียนเรียนรู้ เนื้อหาวิชา วิธีสอน ค่าใช้จ่ายในการจัดทำและชนิดของบทเรียนสำเร็จรูป
ข้อดีของบทเรียนสำเร็จรูป
1. นักเรียนมีโอกาสได้เรียนด้วยตนเองและสนองตอบความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. ช่วยให้ครูทำงานน้อยลง พูดน้อยลง มีเวลาเตรียมบทเรียนต่อไป
3. แก้ปัญหาการขาดแคลนครู
4. แก้ปัญหานักเรียนเรียนช้า แต่ถูกเพื่อน ๆ เยาะเย้ยเมื่อตอบผิด
ข้อจำกัดของบทเรียนสำเร็จรูป
นักเรียนต้องซื่อสัตย์ ปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน ถ้าไม่ซื่อสัตย์ จะไม่ได้ผลอีกทั้งไม่ส่งเสริมคุณธรรมที่ดี
3.เครื่องช่วยสอน (Teaching Machine)
เดิมเครื่องช่วยสอนนี้มีลักษณะเป็นเครื่องจักรกลที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยในการเรียนการสอน เช่น อาจจะมีการเสนอบทเรียน คำอธิบาย ตามมาด้วยคำถามคำตอบ วิธีนี้ จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เครื่องจะช่วยตรวจคำตอบเพื่อวัดความเข้าใจ นับคะแนน เสนอบทเรียนต่อไปถ้าคะแนนเป็นที่พอใจ ให้ทำแบบฝึกหัดซ้ำถ้า คำตอบยังไม่เป็นที่พอใจ ต่อมา ได้มีผู้นำความคิดในเรื่องเครื่องช่วยสอนนี้มาทำเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เรียกว่า CAI หรือ computer-aided instruction ปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปได้ไกลมาก โดยเฉพาะวิชาที่ยังเรียนด้วยของจริงไม่ได้ เช่น การขับเครื่องบิน เป็นต้น นอกจากนั้น ใช้ทำบทเรียนที่เป็นการทบทวน หรือเรียนด้วยตัวเองได้ดี คำเครื่องช่วยสอนในปัจจุบันจึงหมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรม CAI ดู computer aided instruction ประกอบTeaching Machine เครื่องช่วยสอน
เครื่องสอน (Teaching Machine)
เป็นเครื่องมือที่ใช้กับบทเรียนโปรแกรม โดยอาศัยกลไกตั้งแต่แบบง่าย ๆ
ราคาถูกไปจนถึงเครื่องกลไกชั้นสูง คอมพิวเตอร์ราคาแพง
ในการเสนอบทเรียนให้แก่ผู้เรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละคน
ลักษณะของเครื่องสอนโปรแกรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบต่อก้าน อาจอยู่ในแผ่นกระดาษม้วนหรือแผ่นอาซีเตทก็ได้ตัวเครื่องอาจเป็นซองกระดาษ กล่องไม้ หรือกล่องเหล็ก มีช่องหน้าต่างสำหรับผู้เรียน
กรอกคำตอบหรือมีปุ่มให้เลือกตอบ แล้วแต่ชนิดของเครื่องสอน
ประเภทของเครื่องสอน
1. เครื่องสอนจำพวกที่ผู้เรียนสร้างคำตอบเอง
2. เครื่องสอนจำพวกใช้ฝึก
3. เครื่องสอนจำพวกสร้างคำตอบด้วยกลไก
4. เครื่องสอนจำพวกเลือกคำตอบแบบเชิงเส้น
5.เครื่องสอนสำหรับบทเรียนโปรแกรมแบบสาขา
6. เครื่องสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก
ข้อดีของเครื่องสอน
- ป้องกันการทุจริตของผู้เรียน
- ใช้สอนผู้อ่านหนังสือไม่ออกได้
- บันทึกข้อที่ผู้เรียนผิดพลาดได้ สะดวกแก่การนำมาปรับปรุงแก้ไข
- ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ
- ทำหน้าที่ในการสอนรายบุคคลได้ดีกว่าครู
- ไม่ดุหรือทำโทษนักเรียน
- ตัวบทเรียนราคาถูกกว่าหนังสือ
- ใช้ร่วมกับสื่ออื่น ๆ ได้
- ใช้ได้หลายครั้ง สิ้นเปลืองน้อยกว่าบทเรียนโปรแกรมในลักษณะของตำราเครื่องสอน
(Teaching Machine)
- เป็นเครื่องมือที่ใช้กับบทเรียนโปรแกรม โดยอาศัยกลไกตั้งแต่แบบง่าย ๆ
ราคาถูกไปจนถึงเครื่องกลไกชั้นสูง คอมพิวเตอร์ราคาแพง ในการเสนอบทเรียนให้แก่ผู้เรียน
สามารถเรียบนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละคน
ราคาถูกไปจนถึงเครื่องกลไกชั้นสูง คอมพิวเตอร์ราคาแพง
ในการเสนอบทเรียนให้แก่ผู้เรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละคน
ลักษณะของเครื่องสอนโปรแกรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบต่อก้าน อาจอยู่ในแผ่นกระดาษม้วนหรือแผ่นอาซีเตทก็ได้ตัวเครื่องอาจเป็นซองกระดาษ กล่องไม้ หรือกล่องเหล็ก มีช่องหน้าต่างสำหรับผู้เรียน
กรอกคำตอบหรือมีปุ่มให้เลือกตอบ แล้วแต่ชนิดของเครื่องสอน
ประเภทของเครื่องสอน
1. เครื่องสอนจำพวกที่ผู้เรียนสร้างคำตอบเอง
2. เครื่องสอนจำพวกใช้ฝึก
3. เครื่องสอนจำพวกสร้างคำตอบด้วยกลไก
4. เครื่องสอนจำพวกเลือกคำตอบแบบเชิงเส้น
5.เครื่องสอนสำหรับบทเรียนโปรแกรมแบบสาขา
6. เครื่องสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก
ข้อดีของเครื่องสอน
- ป้องกันการทุจริตของผู้เรียน
- ใช้สอนผู้อ่านหนังสือไม่ออกได้
- บันทึกข้อที่ผู้เรียนผิดพลาดได้ สะดวกแก่การนำมาปรับปรุงแก้ไข
- ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ
- ทำหน้าที่ในการสอนรายบุคคลได้ดีกว่าครู
- ไม่ดุหรือทำโทษนักเรียน
- ตัวบทเรียนราคาถูกกว่าหนังสือ
- ใช้ร่วมกับสื่ออื่น ๆ ได้
- ใช้ได้หลายครั้ง สิ้นเปลืองน้อยกว่าบทเรียนโปรแกรมในลักษณะของตำราเครื่องสอน
(Teaching Machine)
- เป็นเครื่องมือที่ใช้กับบทเรียนโปรแกรม โดยอาศัยกลไกตั้งแต่แบบง่าย ๆ
ราคาถูกไปจนถึงเครื่องกลไกชั้นสูง คอมพิวเตอร์ราคาแพง ในการเสนอบทเรียนให้แก่ผู้เรียน
สามารถเรียบนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละคน
4.การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching)
1. ความหมาย
การสอนเป็นคณะ (Team Teaching) เป็นการทำงานร่วมกันของครู ตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันวางแผนการสอน ทำงานร่วมกัน และรับผิดชอบ ในการเรียนการสอนนักเรียนกลุ่มเดียวกันครบทั้งกระบวนการ ผู้สอนอาจเลือกวิธีสอนใด ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสมกับเนื้อหาของการเรียน
2. ความเป็นมา
Keppel คณบดีแห่งวิทยาลัยการศึกษามหาวิทยาลัย Harvard กับผู้ช่วยชื่อ Judson T.Shappin ร่วมกันคิดค้นหาวิธีใหม่ ๆ ทางการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนครูและการใช้ประโยชน์จากกำลังบุคลากร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1957-1958 ได้มีการวิจัยและการจัดการสอนแบบเป็นคณะขึ้นในโรงเรียน Frankin มลรัฐ Massachusette สหรัฐอเมริกา จากนั้นได้มีการนำวิธีการสอนเป็นคณะไปใช้กันแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในโรงเรียนระดับประถมศึกษาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในประเทศไทยเรามีโรงเรียนระดับประถมศึกษาหลายแห่งทดลองสอนแบบเป็นทีมในโรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนวัดมหาบุศย์ โรงเรียนน้อยนพคุณ และโรงเรียนวัดบางบัว เป็นต้น
การสอนเป็นคณะนั้นมีประโยชน์ หากจะนำมาใช้ในโรงเรียน เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและตัวครูให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยนำเอาศักยภาพของผู้สอนและผู้เรียนออกมาใช้ให้มากที่สุด ได้มีการสอนในโรงเรียนไทยมาแล้ว โดยเฉพาะโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย เช่น ได้มีการทดลองสองแบบเป็นคณะในสายวิชาคณิตศาสตร์เป็นต้น แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ทางสำนักฝึกประสบการณ์วิชาชีพศึกษาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ โดยความร่วมมือกับสายวิชาภาษาไทย โรงเรียนสาธิต คณะศึกษาศาสตร์ ได้มีความคิดที่จะทดลองการสอนเป็นคณะอีกครั้ง ในครั้งนี้ได้มีการประชุมชี้แจงได้ทำความเข้าใจในเรื่องการสอนเป็นคณะ เริ่มด้วยมีกลุ่มปฏิบัติการกำหนดลักษณะหลักของการสอนเป็นคณะ แต่ในทางปฏิบัติยังสามารถยึดหยุ่นได้โดยให้สายวิชาซึ่งหมายถึง อาจารย์พี่เลี้ยงสามารถเลือกวิธีปฏิบัติในรายละเอียดต่างๆ ได้ตามความเหมาะสมและเป็นไปได้อีกด้วย สายวิชาภาษาไทยเห็นว่าควรจะได้มีการรวบรวมผลการศึกษาทดลอง ข้อสรุปและรูปแบบที่ปฏิบัติ ตลอดจนมีการประเมินผลโครงการทดลองสอนเป็นคณะในเชิงเปรียบเทียบให้กว้างขวางและละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป
3. จุดมุ่งหมายของการสอนเป็นคณะ
3.1 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนการสอน
3.2 เพื่อส่งเสริมการดำเนินชีวิตแบบประชาธิปไตย
3.3 เพื่อให้ครูได้ใช้เวลาทั้งหมดให้ผูกพันกับการสอน
3.4 เพื่อแก้ปัญหาจำนวนนักเรียนในห้องเรียน
3.5 เพื่อช่วยส่งเสริมทางด้านการฝึกหัดครู
3.6 เพื่อความยุติธรรมในชั่งโมงสอน
3.7 เพื่อแก้ปัญหาการจ้างครูที่ขาดคุณวุฒิ
3.8 แบ่งเบาภาระงานการนิเทศก์การสอน
4. รูปแบบการสอนเป็นคณะ
4.1 แบบมีผู้นำ
4.2 แบบไม่มีผู้นำ
4.3 แบบครูพี่เลี้ยง
5. ขั้นตอนในการดำเนินการสอนเป็นคณะ
5.1 การสอนเป็นกลุ่มใหญ่
5.2 การสอนเป็นกลุ่มเล็ก
5.3 การศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง
6. ข้อดีและข้อจำกัดของการสอนเป็นคณะ
6.1 ข้อดี
ครูมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านวิชาการ ครูใช้ความถนัดและความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ครูใหม่ได้มีโอกาสได้ฝึกงานให้เกิดความชำนาญ ผู้เรียนมีประสบการณ์กว้างขวาง
6.2 ข้อจำกัด
1) จะต้องเสียเวลามากสำหรับเตรียมงานสอน
2) ความสำเร็จของการสอนขึ้นอยู่กับความร่วมมือของครู
3) การเลือกผู้นำของกลุ่มอาจเป็นปัญหาที่ซับซ้อน
4) สื่อการสอนอาจมีปริมาณไม่เพียงพอ
5) การประเมินผลกระทำได้ยาก
5. การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น- การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - เครื่องสอน (Teaching Machine) - การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
2. ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาที่เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ นวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น - ศูนย์การเรียน (Learning Center) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)
3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศัยความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวันนอกจากนั้นก็ยังจัดเวลาเรียนเอาไว้แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้- การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) - มหาวิทยาลัยเปิด (Open University) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - การเรียนทางไปรษณีย์
4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีสิ่งต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น- มหาวิทยาลัยเปิด - การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ - การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป - ชุดการเรียน
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น- การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - เครื่องสอน (Teaching Machine) - การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
2. ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาที่เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ นวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น - ศูนย์การเรียน (Learning Center) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)
3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศัยความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวันนอกจากนั้นก็ยังจัดเวลาเรียนเอาไว้แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น- การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) - มหาวิทยาลัยเปิด (Open University) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - การเรียนทางไปรษณีย์
4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีสิ่งต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น- มหาวิทยาลัยเปิด - การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ - การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป - ชุดการเรียน
6. เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction : CAI)
ปัจจุบันมีนักการศึกษาสนใจศึกษาและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมากในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ โดยนำมาใช้สื่อการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองตามระดับความสามารถของตนเอง
คำที่ใช้เรียกคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีหลายคำคือ Computer Assisted Instruction (CAI), Computer Aided Instruction (CAI), Computer Assisted Learning (CAL), Computer Aided Learning (CAL), Computer Based Instruction (CBI), Computer Based Training (CBT), Computer Administered Education (CAE), Computer Aided Teaching (CAT) แต่คำที่นิยมใช้ ทั่วไปในปัจจุบันคือ Computer Assisted Instruction
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การประยุกต์นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาบทเรียน (Courseware) ขึ้นเพื่อเสนอเนื้อหาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในรูปแบบสื่อประสมคือ ข้อความภาพกราฟิค ภาพเคลื่อนไหว และเสียง การเสนอเนื้อหาดังกล่าวเป็นการเสนอโดยตรงไปยังผู้เรียนผ่านทางจอภาพหรือแป้นพิมพ์ บทเรียนจะถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นดิสก์หรือหน่วยความจำของเครื่องพร้อมที่จะเรียกใช้ได้ตลอดเวลา ผู้เรียนจะต้องโต้ตอบหรือตอบคำถามเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคำถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรียนขั้นต่อ ๆ ไป กระบวนการเหล่านี้เป็นปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีลักษณะที่สำคัญคือ มีเนื้อหาสาระ (Information) ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualized) มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและบทเรียน (Interactive) และให้ผลย้อนกลับแบบทันที (Immediate Feedback) จากลักษณะสำคัญที่กล่าวนี้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1) เสนอสิ่งเร้าให้ผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพ เสียง คำถาม
2) ประเด็นการตอบสนองของผู้เรียน ได้แก่ การตัดสินคำตอบ
3) ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัลหรือคะแนน
4) ให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าได้
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีข้อดี คือ
1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียนในขณะที่เรียนมากกว่าสื่อการเรียนการสอนประเภทอื่น ๆ โดยใช้คอมพิวเตอร์ในการนำเสนอบทเรียน
2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สนับสนุนการเรียนแบบรายบุคคล (Individualization) ได้อย่างมีประสิทธิผล ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเวลาใดก็ได้ตามต้องการ
3) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ช่วยลดต้นทุนในด้านการจัดการเรียนการสอนได้ เพราะการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ไม่ต้องใช้ครูผู้สอน เมื่อสร้างบทเรียนแล้ว การทำซ้ำเพื่อการเผยแพร่ใช้ต้นทุนต่ำมากและสามารถใช้กับผู้เรียนได้เป็นจำนวนมากเมื่อเทียบการสอนโดยใช้ครูผู้สอน
4) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจเรียน เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการนำเสนอบทเรียน เป็นสิ่งแปลกใหม่ มีการปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนตลอดเวลา ผู้เรียนไม่เบื่อหน่าย ทำให้ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนด้วย
5) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้ผลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียนได้อย่างรวดเร็ว ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าของตนเองได้ทันที
6) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสะดวกต่อการติดตามประเมินผลการเรียน โดยมีการออกแบบโปรแกรมให้สามารถเก็บข้อมูลคะแนนหรือผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนไว้ สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อประเมินผลได้อย่างรวดเร็งและถูกต้อง เมื่อเปรียบเทียบกับครูผู้สอน
7) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีเนื้อหาที่คงสภาพแน่นอน เนื่องจากเนื้อหาของ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ผ่านการตรวจสอบให้มีเนื้อหาที่ครอบคลุม จัดลำดับความสัมพันธ์ของเนื้อหาอย่างถูกต้อง มีความคงสภาพเหมือนเดิมทุกครั้งที่เรียน ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า ผู้เรียนเมื่อได้เรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกครั้งจะได้เรียนเนื้อหาที่คงสภาพเดิมไว้ ทุกประการ ต่างจากการสอนด้วยครูผู้สอนที่มีโอกาสที่การสอนแต่ละครั้งของครูผู้สอนในเนื้อหาเดียวกัน อาจมีลำดับเนื้อหาไม่เหมือนกันหรือข้ามเนื้อหาบางส่วนไป
8) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้เรียนสามารถควบคุมกิจกรรมการเรียนได้ด้วยตนเอง การออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอนุญาตให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนได้ตามต้องการ เช่น การเลือกเนื้อหา การเลือกทำแบบฝึกหัด การเลือกเวลาเรียน เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถทำได้หากเรียนโดยใช้ครูผู้สอนจริง
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีข้อจำกัดคือ
1) ปัญหาด้านโปรแกรม (Software) ได้แก่ ขาดแคลนโปรแกรม (Software) ที่จะนำมาใช้สอนในสาขาวิชาต่าง ๆ โปรแกรมที่มีอยู่คุณภาพไม่ดี บุคลากรขาดที่จะพัฒนา CAI โปรแกรมเมอร์ (Programmer) ส่วนใหญ่ที่สร้างซอฟต์แวร์ขาดความรู้พื้นฐานทางการศึกษา ไม่มีความรู้ในเนื้อหาวิชาอย่างแท้จริง ขาดกลยุทธ์ในการสอน ปัญหาอีกประการหนึ่งคือขาดความชำนาญในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ เช่น เนื้อหาและวิธีการนำเสนอไม่เหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียนหรือไม่ ใช้งานง่ายหรือไม่ และมีแรงจูงใจเพื่อให้เด็กเรียนหรือไม่
2) ปัญหาด้านเศรษฐกิจ (Economic) การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสิ้นเปลืองค่า ใช้จ่ายและเวลา เนื่องจากฮาร์ดแวร์ที่ใช้มีราคาแพง และการสร้างซอฟต์แวร์ต้องสิ้นเปลืองเวลาอย่างมากในการพัฒนาซอฟต์แวร์ CAI
3) ปัญหาด้านเทคนิค (Technical) การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมักเกิดปัญหาทางด้านเทคนิคของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ วิธีการบำรุงรักษา การแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา เป็นต้น ส่วนในด้านของซอฟต์แวร์ เมื่อเกิดปัญหาไม่สามารถแก้ปัญหาได้จำเป็นต้องติดต่อกับผู้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่อขอคำแนะนำโดยตรง
4) ปัญหาด้านสังคม (Social) การใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไปจะเป็นการลดความสัมพันธ์ของนักเรียนที่มีต่อกันลงไป ปฏิกิริยาระหว่างบุคคลกับเพื่อน หรือกับครูในห้องเรียนจะน้อยลงไป
ปัจจุบันมีนักการศึกษาสนใจศึกษาและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมากในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ โดยนำมาใช้สื่อการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองตามระดับความสามารถของตนเอง
คำที่ใช้เรียกคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีหลายคำคือ Computer Assisted Instruction (CAI), Computer Aided Instruction (CAI), Computer Assisted Learning (CAL), Computer Aided Learning (CAL), Computer Based Instruction (CBI), Computer Based Training (CBT), Computer Administered Education (CAE), Computer Aided Teaching (CAT) แต่คำที่นิยมใช้ ทั่วไปในปัจจุบันคือ Computer Assisted Instruction
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การประยุกต์นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาบทเรียน (Courseware) ขึ้นเพื่อเสนอเนื้อหาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในรูปแบบสื่อประสมคือ ข้อความภาพกราฟิค ภาพเคลื่อนไหว และเสียง การเสนอเนื้อหาดังกล่าวเป็นการเสนอโดยตรงไปยังผู้เรียนผ่านทางจอภาพหรือแป้นพิมพ์ บทเรียนจะถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นดิสก์หรือหน่วยความจำของเครื่องพร้อมที่จะเรียกใช้ได้ตลอดเวลา ผู้เรียนจะต้องโต้ตอบหรือตอบคำถามเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคำถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรียนขั้นต่อ ๆ ไป กระบวนการเหล่านี้เป็นปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีลักษณะที่สำคัญคือ มีเนื้อหาสาระ (Information) ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualized) มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและบทเรียน (Interactive) และให้ผลย้อนกลับแบบทันที (Immediate Feedback) จากลักษณะสำคัญที่กล่าวนี้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1) เสนอสิ่งเร้าให้ผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพ เสียง คำถาม
2) ประเด็นการตอบสนองของผู้เรียน ได้แก่ การตัดสินคำตอบ
3) ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัลหรือคะแนน
4) ให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าได้
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีข้อดี คือ
1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียนในขณะที่เรียนมากกว่าสื่อการเรียนการสอนประเภทอื่น ๆ โดยใช้คอมพิวเตอร์ในการนำเสนอบทเรียน
2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สนับสนุนการเรียนแบบรายบุคคล (Individualization) ได้อย่างมีประสิทธิผล ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเวลาใดก็ได้ตามต้องการ
3) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ช่วยลดต้นทุนในด้านการจัดการเรียนการสอนได้ เพราะการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ไม่ต้องใช้ครูผู้สอน เมื่อสร้างบทเรียนแล้ว การทำซ้ำเพื่อการเผยแพร่ใช้ต้นทุนต่ำมากและสามารถใช้กับผู้เรียนได้เป็นจำนวนมากเมื่อเทียบการสอนโดยใช้ครูผู้สอน
4) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจเรียน เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการนำเสนอบทเรียน เป็นสิ่งแปลกใหม่ มีการปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนตลอดเวลา ผู้เรียนไม่เบื่อหน่าย ทำให้ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนด้วย
5) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้ผลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียนได้อย่างรวดเร็ว ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าของตนเองได้ทันที
6) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสะดวกต่อการติดตามประเมินผลการเรียน โดยมีการออกแบบโปรแกรมให้สามารถเก็บข้อมูลคะแนนหรือผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนไว้ สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อประเมินผลได้อย่างรวดเร็งและถูกต้อง เมื่อเปรียบเทียบกับครูผู้สอน
7) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีเนื้อหาที่คงสภาพแน่นอน เนื่องจากเนื้อหาของ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ผ่านการตรวจสอบให้มีเนื้อหาที่ครอบคลุม จัดลำดับความสัมพันธ์ของเนื้อหาอย่างถูกต้อง มีความคงสภาพเหมือนเดิมทุกครั้งที่เรียน ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า ผู้เรียนเมื่อได้เรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกครั้งจะได้เรียนเนื้อหาที่คงสภาพเดิมไว้ ทุกประการ ต่างจากการสอนด้วยครูผู้สอนที่มีโอกาสที่การสอนแต่ละครั้งของครูผู้สอนในเนื้อหาเดียวกัน อาจมีลำดับเนื้อหาไม่เหมือนกันหรือข้ามเนื้อหาบางส่วนไป
8) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้เรียนสามารถควบคุมกิจกรรมการเรียนได้ด้วยตนเอง การออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอนุญาตให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนได้ตามต้องการ เช่น การเลือกเนื้อหา การเลือกทำแบบฝึกหัด การเลือกเวลาเรียน เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถทำได้หากเรียนโดยใช้ครูผู้สอนจริง
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีข้อจำกัดคือ
1) ปัญหาด้านโปรแกรม (Software) ได้แก่ ขาดแคลนโปรแกรม (Software) ที่จะนำมาใช้สอนในสาขาวิชาต่าง ๆ โปรแกรมที่มีอยู่คุณภาพไม่ดี บุคลากรขาดที่จะพัฒนา CAI โปรแกรมเมอร์ (Programmer) ส่วนใหญ่ที่สร้างซอฟต์แวร์ขาดความรู้พื้นฐานทางการศึกษา ไม่มีความรู้ในเนื้อหาวิชาอย่างแท้จริง ขาดกลยุทธ์ในการสอน ปัญหาอีกประการหนึ่งคือขาดความชำนาญในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ เช่น เนื้อหาและวิธีการนำเสนอไม่เหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียนหรือไม่ ใช้งานง่ายหรือไม่ และมีแรงจูงใจเพื่อให้เด็กเรียนหรือไม่
2) ปัญหาด้านเศรษฐกิจ (Economic) การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสิ้นเปลืองค่า ใช้จ่ายและเวลา เนื่องจากฮาร์ดแวร์ที่ใช้มีราคาแพง และการสร้างซอฟต์แวร์ต้องสิ้นเปลืองเวลาอย่างมากในการพัฒนาซอฟต์แวร์ CAI
3) ปัญหาด้านเทคนิค (Technical) การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมักเกิดปัญหาทางด้านเทคนิคของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ วิธีการบำรุงรักษา การแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา เป็นต้น ส่วนในด้านของซอฟต์แวร์ เมื่อเกิดปัญหาไม่สามารถแก้ปัญหาได้จำเป็นต้องติดต่อกับผู้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่อขอคำแนะนำโดยตรง
4) ปัญหาด้านสังคม (Social) การใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไปจะเป็นการลดความสัมพันธ์ของนักเรียนที่มีต่อกันลงไป ปฏิกิริยาระหว่างบุคคลกับเพื่อน หรือกับครูในห้องเรียนจะน้อยลงไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)